สิ่งที่สาวๆวัยรุ่นสไตล์เกาหลีควรรู้
กำลังเป็นกระแสมาแรงในบ้านเรา กับการฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อเปลี่ยนสีผิวให้ขาวขึ้น
ซึ่งในตอนนี้ทางการแพทย์ได้ออกมาประกาศแล้วว่าเป็นสารอันตราย หากเกิดอาการแพ้อาจถึงตายได้
อีกทั้งยังผิดกฎหมายอีกด้วย หากสถานเสริมความงามที่ใดทำการฉีดเข้าร่างกาย
ให้กับผู้เข้ารับบริการ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครอยากฟัง กลูต้าไธโอน กลับยิ่งแพร่ระบาดมากขึ้น
เพราะการให้บริการฉีดผิวขาวนั้นถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
อีกทั้งยังอันตรายจนอาจจะเกิดผลข้างเคียง เช่น เป็นผื่นแดง บวมตามผิวหนัง ความดันโลหิตต่ำ
หอบหืดเฉียบพลัน หลอดเลือดตีบหายใจติดขัด หรือถึงกับเสียชีวิตได้
ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้น เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายดังนี้
1. ผิดพระราชบัญญัติ ยา คือลักลอบขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา
2. พระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ มีความผิดประกอบวิชาชีพเวชกรรม
1. ผิดพระราชบัญญัติ ยา คือลักลอบขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา
2. พระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ มีความผิดประกอบวิชาชีพเวชกรรม
โดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนรับอนุญาต
3. ผิดพระราชบัญญัติสถานพยาบาล โดยดำเนินกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ผิดตามพ.ร.บ.อาหารโดยจำหน่ายอาหารเสริมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย.
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังไม่ได้รับสารกลูต้าไธโอนขึ้นทะเบียน
เพราะฉะนั้นสารกลูต้าไธโอนที่มีใช้ในขณะนี้ ถือว่าเป็นการลักลอบผิดกฎหมาย และโดยปกติแล้วสารกลูต้าไธโอนนั้นจะใช้ในการรักษาโรคมะเร็งในตับ
โรคตับอักเสบ ซึ่งหากนำไปใช้แบบผิด ๆ จะทำให้เป็นอันตรายแก่ผู้ที่เข้ารับบริการ "สถานพยาบาลและคลินิกเสริมความงามต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
คือ ห้ามใช้สารกลูต้าไธโอนเพื่อการเสริมความงาม"
นอกจากนี้ยังไม่มีการยืนยันว่า สารดังกล่าวนั้นสามารถทำให้ผิวนั้นขาวขึ้นได้จริง ทั้งองค์ความรู้ที่ถูกต้องหรือผลการวิจัยต่าง ๆ ก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้นก็ยังตัดสินไม่ได้ว่า สารกลูต้าไธโอนจะไปทำให้สีผิวของเราจากคล้ำให้กลายเป็นผิวขาวได้ อีกทั้งอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะตามมาได้หากยังใช้โดยวิธีผิด ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้มีระเบียบออกมาห้ามไม่ให้แพทย์ใช้การรักษาด้วย วิธีนี้ ทำให้ประชาชนที่มีความเชื่อว่าฉีดแล้วจะขาวไปฉีดกับผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทาง การแพทย์ ดังเช่นที่เป็นข่าว และยังมีการขายทาง internet มากมาย จึงขอนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังอีกครั้ง และสามารถดูรายละเอียดที่ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ในเว็ป http://www.dst.or.th/vdo_p.php
นอกจากนี้ยังไม่มีการยืนยันว่า สารดังกล่าวนั้นสามารถทำให้ผิวนั้นขาวขึ้นได้จริง ทั้งองค์ความรู้ที่ถูกต้องหรือผลการวิจัยต่าง ๆ ก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้นก็ยังตัดสินไม่ได้ว่า สารกลูต้าไธโอนจะไปทำให้สีผิวของเราจากคล้ำให้กลายเป็นผิวขาวได้ อีกทั้งอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะตามมาได้หากยังใช้โดยวิธีผิด ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้มีระเบียบออกมาห้ามไม่ให้แพทย์ใช้การรักษาด้วย วิธีนี้ ทำให้ประชาชนที่มีความเชื่อว่าฉีดแล้วจะขาวไปฉีดกับผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทาง การแพทย์ ดังเช่นที่เป็นข่าว และยังมีการขายทาง internet มากมาย จึงขอนำเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังอีกครั้ง และสามารถดูรายละเอียดที่ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ในเว็ป http://www.dst.or.th/vdo_p.php
กลูตาไธโอน (Glutathione)
จาก ความรู้ที่ว่าสารกลูต้าไธโอน
ที่ทางการแพทย์ใช้รักษาโรคอื่น ๆ เมื่อใช้ไปแล้วจะทำให้ผิวขาวขึ้น
จึงมีผู้นำมาใช้ฉีดให้ผิวขาว โดยมีการโฆษณาเกินความจริงว่าเมื่อฉีดแล้วผิวจะขาว
กระจ่างใสเหมือนกับมีแสงออร่า ความจริงคืออะไร
เรามาทำความรู้จักสารกลูต้าไทโอนกันก่อนเป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาท
ระบบภูมิ คุ้มกันร่างกาย ปกติแพทย์จะใช้ในปริมาณเพียง 200 มิลลิกรัมต่อครั้ง
มีกลุ่มคลินิกเสริมความงาม เป็นสารอ้างว่าใช้ผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว
กลูตาไธโอน เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน
3 ตัว คือ ซิสทีน (cysteine), กรดกลูตามิค (glutamic
acid) และไกลซีน (glycine) ซึ่งร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ
และมีในอาหาร เช่น นม ไข่ ผลอะโวคาโด สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี
ส้มเกรปฟรุต และผักโขม
กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย
ช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และยังนำมารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ข้ออักเสบ โรคพาร์กินสัน
โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ ภาวะเป็นหมันในเพศชาย และภาวะหูตึงจากเสียงดัง
ผลข้างเคียงทำให้ผิวขาว
หน้าที่หลักของสารตัวนี่ที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ
1. Detoxification : กลูต้าไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่าง
ๆ ในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathion-S-transferase
ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ
(ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด
ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่
ยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ
2. Antioxidant :
กลูต้าไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี
อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่
3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย2
โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA
สร้างโปรตีนและ prostaglandin
ข้อบ่งใช้ในทางการแพทย์
สารนี้บางประเทศขึ้นทะเบียนเป็นยา และบางประเทศใช้เป็นอาหารเสริม
แต่ในประเทศไทยสารนี้ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีรายงานการใช้สารกลูต้าไทโอนในหลายกรณี
เช่น โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน โดยใช้ฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ
ใช้รักษาภาวะการเป็นพิษจากโลหะหนัก พิษจากยาพาราเซ็ทตามอล ทำลายพิษในตับ
ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในคนไข้ AIDS, มะเร็ง และใช้ต้านความชรา แต่
ข้อมูลที่ใช้รักษาฝ้า และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเหมือนมีแสงออร่า
นั้นยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน
พบว่าเป็นผลข้างเคียงจากการใช้สารนี้ที่ใช้รักษาโรคอื่นแล้วผิวขาวขึ้น
จึงมีการนำมาใช้ทำให้ผิวขาวขึ้น
ปัญหาของกลูต้าไธโอน
1. ผล ข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ
มีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้สารกลูต้าไธโอน เอง หรืออาจจะแพ้ สารฆ่าเชื้อ หรือ
สารกันเสีย หรือ สารปนเปื้อน ขณะนี้มีรายงานในต่างประเทศว่าผู้
ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่มีอาการช็อค ความดันต่ำ
หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
2. สารกลูต้าไธโอน[ที่ใช้อยู่เป็นการลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย
ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สารนี้ที่ใช้ในการแพทย์
มีชื่อว่า Tationil ซึ่งผลิตโดยบริษัท Roche ประเทศอิตาลี แต่บริษัท Roche ประเทศไทย ได้ยืนยันมาว่าบริษัทไม่ได้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย
และยังพบว่ามียาปลอมมีที่ผลิตที่เวียดนามและจีน โดยที่พิมพ์ว่าผลิตในอิตาลี
ทำให้เกิดผลข้างเคียงในการฉีดได้
3. การที่ฉีดมักจะให้วิตามินซีในขนาดสูงร่วมด้วย ซึ่งการฉีดวิตามินซี
ในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ คล้ายจะเป็นลมได้
4. พบว่าการที่ได้รับสารกลูต้าไธโอนเป็นเวลานาน ๆ
จะทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต
ทางวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง ทางตา
5.
การใช้สารกลูต้าไธโอนในผู้ป่วยมะเร็งทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดลดลง
6. การได้รับสารกลูต้าไธโอนปริมาณมาก
มีผลต่อแร่ธาตุในขบวนการเมตาบอลิซึม และตัวมันเองสามารถกลายเป็นอนุมูลอิสระ
มาทำร้ายร่างกายได้
7. ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในเรื่อง “กลูต้าไธโอน” นั้น เท่าที่ทราบมีการขายเกลื่อนตามเว็บไซต์
ราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท และมีการแนะนำวิธีฉีด และอวดอ้างสรรพคุณ
จนทำให้คนที่อยากขาวเกิดความสนใจ
และซื้อหาไปทดลองทั้งฉีดกันเองซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ การติดเชื้อ และปัญหาอื่น ๆ
อีกมากมาย
8. การใช้เข็มฉีดเข้าตัวเองกันอย่างแพร่หลาย โดยไม่ระมัดระวังและคำนึงถึงสุขอนามัยแล้ว อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วน
8. การใช้เข็มฉีดเข้าตัวเองกันอย่างแพร่หลาย โดยไม่ระมัดระวังและคำนึงถึงสุขอนามัยแล้ว อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วน
สาวๆวัยรุ่นสไตล์เกาหลีไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น
เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์
หรือยาอาจจะช่วยได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็จะผลิตเม็ดสีตามปกติ
ทั้งนี้การที่ประชาชนในแถบเอเชียมีผิวคล้ำถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์
เพราะสามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ได้
ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาว
จึงไม่ควรมีค่านิยมที่ผิดในการเปลี่ยนสีผิวให้ขาวผิดธรรมชาตินะจ๊ะ
สาวๆอยากสวยแบบแฟชั่นวัยรุ่นสไตล์เกาหลี อย่าให้เขาหลอก กลูต้าไธโอน ไม่ช่วยให้ผิวขาว หรอกจ้า
ข้อมูลที่น่าสนใจ น่าติดตาม เรื่องการดูแลสุขภาพผิวของสาวๆวัยรุ่น
อ้างอิง
- Merck Index, 11th Edition, 4369.
- ตะลึง!คลินิกรับฉีด"ดีท็อกซ์ผิวขาว"ผุดทั่วสยามฯ
- http://www.healthtoday.net/thailand/skin/skin_83.html
- http://www.dst.or.th/vdo_p.php
- ประโยชน์ ของกลูต้าไธโอน กับผิวพรรณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น